วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บทที่ 2 ข้อมูล สารสนเทศ และการจัดการ


บทที่ 2 ข้อมูล สารสนเทศ และการจัดการ

ข้อมูลและสารสนเทศ

     1.) ข้อมูล (Data)
              
หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นหรือมีลักษณะหลายอย่างผสมผสานเข้าด้วยกัน
     2.) สารสนเทศ (Information)
              
หมายถึง ข้อมูลต่างๆ ที่ผ่านการประมวลผลแล้ว ซึ่งถูกต้องแม่นยำและตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน
     3.) ลักษณะของข้อมูลที่ดี
              ข้อมูลที่ดีจะต้องเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพ มีความสมบรูณ์ในระดับที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน โดยข้อมูลที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
     - มีความถูกต้องแม่นยำ  
     -
มีความสมบรูณ์ครบถ้วน
     -
ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นปัจจุบัน
     - ความสอดคล้องของข้อมูล
     4.) ชนิดและลักษณะของข้อมูล
           ข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลแบ่งออกเป็ 2 ชนิด ได้แก่
           1.) ข้อมูลที่เป็นตัวเลข (Numeric data) คือ ข้อมูลที่ใช้แทนจำนวนที่สามารถนำไปคำนวณได้
             
ซึ่งเขียนได้หลายรูปแบบ คือ
                  - เลขจำนวนเต็ม คือ ตัวเลขที่ไม่มีจุดทศนิยม
                  - เลขทศนิยม คือ ตัวเลขที่มีจุดมศนิยม ซึ่งอาจมีค่าเป็นจำนวนเต็ม หรือจำนวนที่มีเศษ ป็นทศนิยมก็ได้ เลขทศนิยมแบบนี้สามารถเขียนได้ 2 แบบ คือ
                  - แบบที่ใช้ทั่วไป
                  - แบบที่ใช้งานวิทยาศาสตร์ หรือสัญกรณ์วิทยาศาสตร์
 
 
            2.) ข้อมูลที่เป็นตัวอักขระ (Character data)
  
คือ ข้อมูลที่เป็นตัวอักษรและไม่สามารถนำไปคำนวณได้ แต่นำมาเรียงต่อกันให้มีความหมายได้
     5.) ประเภทของข้อมูล
              สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆได้ ดังนี้
              - ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) คือ ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมหรือบันทึกจากแหล่งข้อมูล
           โดยตรง ซึ่งไม่ได้คัดลอกจากบุคคลอื่น ข้อมูลที่ได้จะมีความถูกต้อง ทันสมัย และเป็นปัจจุบัน
           มากกว่าข้อมูลทุติยภูมิ
              - ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) คือ ข้อมูลที่มีผู้รวบรวมหรือเรียบเรียงไว้แล้ว ซึ่งเป็นข้อมูล
           สารสนเทศที่สามารถนำมาใช้อ้างอิงได้

กระบวนการจัดการสารสนเทศ
     สามารถแบ่งออกเป็น 4 ปะเภทใหญ่ๆ คือ
          1.) การรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล
                  - การรวบรวมข้อมูล เป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินงาน ซึ่งใช้เทคโนโลยีช่วยในการจัดเก็บ                
               ข้อมูล
                  - การตรวจสอบข้อมูล เมื่อมีการรวบรวมข้อมูล ก็จำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อมูลเพื่อความ
               ถูกต้อง ซึ่งหากพบความผิดพลาดก็ต้องแก้ไขโดยอาจใช้สายตาของมนุษย์หรือใช้
               คอมพิวเตอร์ช่วยตรวจสอบ
          2.) การประมวลผลข้อมูล
                  - การจัดกลุ่มข้อมูล ข้อมุลที่จัดเก็บควรจัดกลุ่มเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจน เพื่อเตรียมไว้สำหรับ
               การใช้งานต่อไป
                  - การจัดเรียงข้อมูล เมื่อจัดกลุ่มเป็นหมวดหมู่แล้ว ก็ควรจักเรียงข้อมูลที่มีความสำคัญตาม
               ลำดับตัวเลขหรืออักขระ เพื่อสะดวกและประหยัดเวลาในการค้นหาข้อมูล
                  - การสรุปผลข้อมูล หลังจากจัดเรียงลำดับความสำคัญของข้อมูลต่างๆ แล้ว ก็ควรสรุปข้อมูล
               เหล่านั้นให้กระชับและได้ใจความสำคัญ เพื่อรอการนำไปใช้ประโยขน์ต่อไป
          3.) การจัดเก็บและดูแลรักษาข้อมูล
                 ประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
                  - การเก็บรักษาข้อมูล การนำข้อมูลที่ประมวลผลแล้วมาบันทึกเก็บไว้ในสื่อบันทึก
               ข้อมูลต่างๆ
                  - การทำสำเนาข้อมูล การคัดลอกข้อมูลจากต้นฉบับเพื่อเก็บรักษา หากข้อมูลต้นฉบับ
               เสียหาย ก็สามารถนำข้อมูลที่สำเนาไว้มาใช้ได้ในทันที
          4.) การแสดงผลข้อมูล
                  - การสื่อสารและเผยแพร่ข้อมูล เป็นเรื่องสำคัญและมีบมบามอย่างมาก เพราะหากได้รับ
               ข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วและทันเวลา ผู้ใช้งานก็สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ได้เต็ม
               ศักยภาพ ทั้งนี้การสื่อสารและเผยแพร่ข้อมูลก็จะต้องมีประสิทธิภาพด้วย
                  - การปรับปรุงข้อมูล หลังจากที่ได้เผยแพร่ข้อมูลไปแล้ว ก็ควรมีการติดตามผลตอบกลับ
               (Feedback)
เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับปรุงแก้ไขให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลาและควรจักเก็บ
               อย่างเป็นระบบเพื่อง่ายต่อการใช้งาน

ข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์
      1.) ระบบเลขฐานสอง
              การสื่อสารกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลหรือการสั่งงานจะต้องอาศัยระบบ เลขฐานสอง เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณไฟฟ้าโดยแทนตัวเลข 0 และ 1 โดยแต่ละหลักจะเรียกว่า "บิต" (Binary digit : Bit) และเมื่อนำตัวเลขหลายๆบิตมาเรียงต่อกัน [8บิต(Bit)  = 1 ไบต์(Byte)]   

จะใช้สร้างรหัสแทนจำนวน อักขระ สัญลักษณ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้
 



      2.) รหัสแทนข้อมูล
              เพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อความระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์เป็นไปในแนวเดียวกัน จึงมีการกำหนดมาตรฐานรหัสแทนข้อมูลในระบบเลขฐานสองขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้
              - รหัสแอสกี (American standard code information interchange : ASCII)
 
เป็นรหัสแทนข้อมูลด้วยเลขฐานสองจำนวน 8 บิต หรือ 1 ไบต์ แทนอักขระหรือสัญลักษณ์
              แต่ล่ะตัว ซึ่งหมายความว่าการแทนอักขระแต่ละตัวจะประกอบด้วยตัวเลขฐานสอง 8 บิตเรียงกัน
 
              - รหัสยูนิโค้ด (Unicode) เป็นรหัสแทนข้อมูลด้วยตัวเลขฐานสองจำนวน 16 บิต เนื่องจาก
              ตัวอักษรบางประเภทเป็นตัวอักษรแบบรูปภาพ
 
      3.) การจัดการข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์
              ในการจัดเก็บข้อมูลไว้ในสื่อบันทึกต่างๆ จะต้องกำหนดนูปแบบหรือโครงสร้างของข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ตรงกัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
              - บิต (Bit) คือ ตัวเลขหลักใดหลักหนึ่งในระบบเลขฐานสอง (0 กับ 1) ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด
            ของข้อมูล



              - ตัวอักขระ (Character) คือ ตัวเลข ตัวอักษร หรือเครื่องหมายใดๆ โดยตัวอักขระแต่ละตัวจะใช้
            เลขฐานสองจำนวน 8 บิต หรือ 1 ไบต์ ในการแทนข้อมูล 



     

 
             - เขตข้อมูล(Field)  คือ ข้อมูลที่เป็นตัวอักขระเรียงต่อกัน เพื่อแทนความหมายใด
            ความหมายหนึ่ง
              - ระเบียบข้อมูล (Record) คือ กลุ่มของเขตข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกัน ตั้งแต่ 1 เขตข้อมูล
            ขึ้นไป
              - แฟ้มข้อมูล (File) คือ กลุ่มของระเบียนข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน ตั้งแต่หนึ่งระเบียนขึ้นไป
              - ฐานข้อมูล (Database) เป็นที่รวบรวมแฟ้มข้อมูลหลายๆ แฟ้มเข้าด้วยกัน ซึ่งจะต้องมัความ
            สัมพันธ์กันโดยใช้ข้อมูลที่เหมือนกันเป็นตัวเชื่อมระหว่างกัน

จริยธรรมในการใช้ข้อมูล
     ประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับจริยธรรมในการใช้ข้อมูล มีดังนี้
         1.)
ความเป็นส่วนตัว (Privacy)
                 
ก่อนที่จะเผยแพร่ข้อมูลทุกครั้งต้องคำนึงถึงข้อมูลที่มีความเป็นส่วนตัวสูง หากข้อมูลเหล่านี้
               ถูกพวกมิจฉาชีพนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่เจ้าของข้อมูล
         2.) ความถูกต้อง (Accuracy)
                 
ก่อนที่จะเผยแพร่ข้อมูลใดๆ ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลนั้นเสียก่อน เพราะถ้าผู้รับ
               ข้อมูลที่ผิด ฏ้ไม่สามรถนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์อะไรได้เลย ซึ่งจะทำให้เสียเวลาในการ
               ค้นหาใหม่
         3.) ความเป็นเจ้าของ (Property)
                 
การละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพยฝืสินทางปัญญา จะทำให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจต่อเจ้า
               ของข้อมูล ผู้ใช้จึงควรระมัดระวังในการนำข้อมูลต่างๆ มาใช้งาน ว่าได้รับอนุญาตจากเจ้าของ
               ข้อมูลหรือไม่ ซึ่งหากละเมิดลิขสิทธิ์ก็จะมีความผิดทางกฏหมาย
         4.) การเข้าถึงข้อมูล (Accessibility)
                 
การใช้งานคอมพิวเตอร์มักมีการกำหนดสิทธิตามระดับผู้ใช้ ก็เพื่อป้องกันและรักษาความลับ
               ของข้อมูล ซึ่งการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าเป็นการผิดจริยธรรม
               เช่นเดียวกับการละเมิดข้อมูลส่วนตัว

    คำถาม : ถ้าหากว่าปัจจุบันไม่มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างที่เป็นอยู่ ชีวิตประจำวันของมนุษย์จะเป็นอย่างไร??????




วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บทที่1 เทคโนโลยีสานสนเทศและการสื่อสาร

บทที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร


1.1   ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเทคโนโลยี (technology)

การนำความรู้หรือวิทยาการทางด้านวิทยาศาสตร์ มาประยุกต์ในการพัฒนาเครื่องมือ เครื่องจักร วัสดุ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้
สารสนเทศ (information)
ข้อมูล ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น หรือประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการประมวลผลอย่างมีระบบ
การสื่อสาร (communication)
       การส่งข้อมูลข่าวสารโดยอาศัยสื่อเป็นตัวกลาง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกิริยาตอบสนองให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งข่าวสารต้องการ
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) มาจากคำว่า “เทคโนโลยี” กับ “สารสนเทศ” เชื่อมต่อกัน ซึ่งหมายถึง การนำความรู้หรือวิทยาการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เพื่อจัดการกับข้อมูลสารสนเทศอย่างเป็นระบบ และก่อให้เกิดประโยชน์ในการทำงาน หรือแก้ปัญหาต่างๆ ให้แก่บุคคลหรือองค์กร
เทคโนโลยีการสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology : ICT) คือ การนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม เพื่อผลิต เผยแพร่ และจัดเก็บสื่อสารสมเทศในรูปแบบต่างๆ

1.2 ระบบสารสนเทศ

ระบบสารสนเทศ (Information system) เป็นระบบที่ช่วยในการรวบรวม จัดเก็บ และจัดการกับข้อมูลต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ซึ่งประกอบด้วย 5 ส่วนสำคัญ คือ
1.  ฮาร์ดแวร์ (Hardware) เป็นเครื่องมือที่ใช้จัดการกับสารสนเทศ ทั้งที่เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพวงต่างๆ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระบบสารสนเทศ สามารถทำงานได้รวดเร็ว แม่นยำ เช่น จอภาพ (monitor), คีย์บอร์ด (keyboard) เป็นต้น
2.   ซอฟต์แวร์ (software) เป็นโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่สั่งการให้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ ทำงานตามคำสั่งของผู้ใช้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ

               -          ซอฟต์แวร์ระบบ
ซอฟต์แวร์ระบบ (system software) เป็นชุดคำสั่งที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ทั้งหมดภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างซอฟต์แวร์ระบบ เช่น ดอส (Dos), วินโดวส์(Windows), ลินุกซ์ (Linux), แมค โอเอส (Mac OS) เป็นต้น
-                                -               ซอฟต์แวร์ประยุกต์
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (application software) เป็นชุดคำสั่งที่เขียนขึ้นเพื่อประยุกต์ใช้กับงานตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน ตัวอย่างซอฟต์แวร์ประยุกต์ เช่น ซอฟต์แวร์ประมวลคำ (word processor), ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน (spreadsheet) เป็นต้น
3.  ข้อมูล
ข้อมูล (data) ข้อมูลที่ดีจะต้องมีความสมบูรณ์ ถูกต้อง แม่นยำ โดยจะถูกรวบรวมและป้อนเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยอุปกรณ์รับข้อมูลต่างๆ เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด สแกนเนอร์ เป็นต้น ทั้งนี้การจัดเก็บข้อมูลจะต้องมีโครงสร้างที่เป็นระบบเพื่อให้สืบค้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
4.  บุคลากร
บุคลากร (people) จะต้องมีความรู้และความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้เกิดประโยชน์
ซึ่งผู้พัฒนาจะต้องพัฒนาระบบสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้ตามความต้องการ ส่วนผู้ใช้จะต้องมีความรู้และความเข้าใจในการใช้งานระบบสารสนเทศได้อย่างถูกต้อง
 5.  ขั้นตอนการปฏิบัติงาน
ขั้นตอนการปฏิบัติงาน (procedure) ผู้ใช้งานจะต้องปฏิบัติตามระเบียบและวิธีการปฏิบัติตามคู่มือการปฏิบัติงาน (user manual) เพื่อให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพ เช่น ขั้นตอนการปฏิบัติงานต่างๆ เมื่อข้อมูลได้รับความเสียหาย เป็นต้น
ส่วนประกอบทั้งห้านี้ล้วนมีส่วนสำคัญ หากขาดส่วนประกอบใดหรือส่วนประกอบใดไม่สมบูรณ์ก็อาจทำให้ระบบสารสนเทศนั้นขาดความสมบูรณ์ได้ เช่น การเชื่อมต่อของจอภาพกับคอมพิวเตอร์ไม่สมบูรณ์ก็จะทำให้จอภาพไม่สามารถแสดงผลได้ เป็นต้น

1.3   ประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

1.      ด้านการศึกษา
ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารงานการศึกษาเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น ระบบการลงทะเบียนและระบบการจัดตารางการเรียนการสอน เช่น การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม การศึกษาบทเรียนออนไลน์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) เป็นต้น
2.      ด้านการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล
ข้อมูลจำนวนมากได้ถูกรวบรวมและบันทึกไว้ในรูปของสื่อบันทึกข้อมูลประเภทต่างๆ เช่น ฮาร์ดดิสก์ (hard disk), แผ่นซีดีรอม (CD-Rom) ซึ่งสามารถเก็บรวบรวมเอกสารหรือหนังสือต่างๆ ทั้งหมดไว้และนำข้อมูลกลับมาใช้ได้
3.      ด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม
การสื่อสารแบบไร้สายเข้ามามีส่วนสำคัญต่อการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคมที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว เช่น การหาข้อมูลจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
4.      ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
       การวิจัยและการทดลองทางด้านวิทยาศาสตร์ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทั้งสิ้น เช่น การวิจัยด้านนิวเคลียร์ฟิสิกส์ เป็นต้น
5.      ด้านความบันเทิง
       รูปแบบการนำเสนอที่ตอบสนองความต้องการทั้งภาพและเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพประกอบการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศต่างๆ จึงทำให้ได้รับความนิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เช่น การชมโทรทัศน์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต การชมภาพยนตร์ผ่านระบบเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
นอกจากประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่กล่าวมานั้น ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ด้านสิ่งพิมพ์ ด้านการเงินการธนาคาร ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการนำมาปรับใช้ให้เป็นไปตามหลักคุณธรรมและจริยธรรม

1.4   แนวโน้มการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

-       เทคโนโลยีแบบไร้สายทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างกันมีความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
-       มีการใช้ระบบเสมือนจริงผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น
-       อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะมีขนาดกะทัดรัดและราคาถูก
-       การวางแผน การคิดวิเคราะห์ และการตัดสินใจของมนุษย์จะถูกแทนที่โดยคอมพิวเตอร์ซึ่งจะเป็นเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจ
-       ด้วยการเข้าถึงข้อมูลที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ทำให้มีช่องทางการดำเนินธุรกิจและกิจกรรมต่างๆ
-       หน่วยงานหรือองค์กรจะมีขนาดเล็กลง แต่จะปรับเปลี่ยนลักษณะของการเชื่อมโยง

1.5   ผลกระทบจากการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

-       พฤติกรรมเลียนแบบจากเกมที่ใช้ความรุนแรง อาจก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมได้
-       การใช้ชีวิตของสังคมเมืองเปลี่ยนไป ทำให้การพบปะของผู้คนลดน้อยลง
-       การเข้าถึงข้อมูลบนระบบเครือข่ายที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว ทำให้เกิดช่องทางการโจรกรรมเพิ่มมากขึ้น
-       ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ทำให้การผลิตของผิดกฎหมายและละเมิดลิขสิทธิ์เพิ่มมากขึ้น
-       การส่งต่อข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางต่างๆ บนระบบเครือข่าย เช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เฟสบุ๊ก (facebook) ถ้าผู้ส่งไม่ระมัดระวังอาจเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้
-       เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพัฒนาเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มีมาตรการการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ก็จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตได้

1.6   อาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

-    นักเขียนโปรแกรมหรือโปรแกรมเมอร์ (programmaer) ทำหน้าที่เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้ทำงานได้ตามที่ต้องการ
-   นักวิเคราะห์ระบบ (system analyst) ทำหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ และพัฒนาระบบสารสนเทศ โดยออกแบบให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน
-   ผู้ดูแลและบริหารฐานข้อมูล (database administrator) ทำหน้าที่บริหารจัดการฐานข้อมูล และดูแลความปลอดภัยของข้อมูล ประสานงาน
-   ผู้ดูแลและบริหารระบบเครือข่าย (network administrator) ทำหน้าที่บริหารจัดการระบบเครือข่าย และดูแลความปลอดภัยระบบเครือข่าย
-   ผู้พัฒนาและบริหารระบบเว็บไซด์ (webmaster) ทำหน้าที่ดูแลและคอยควบคุมทิศทางของเว็บไซด์
-   เจ้าหน้าที่เทคนิค (technician) ทำหน้าที่ดูแลรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์